เหรียญรุ่นกายสิทธิ์หมื่นยันต์ หลวงปู่พริ้ง ขันติพโล วัดซับชมพู่ จ.เพชรบูรณ์ ปี 2558 กล่องเดิมจากวัด
เหรียญรุ่นกายสิทธิ์หมื่นยันต์ หลวงปู่พริ้ง ขันติพโล วัดซับชมพู่ จ.เพชรบูรณ์ ปี 2558 กล่องเดิมจากวัด
เหรียญเก่าเก็บเดิมๆสภาพสวย ไม่ผ่านการใช้งาน พร้อมกล่องเดิมจากวัด เริ่มหายากแล้วนะครับ เก็บได้รีบเก็บ
รับประกันพระแท้ 100%
หลวงปู่พริ้ง ได้ออกธุดงค์จนพบสถานที่เงียบสงบวิเวกจริงๆ (บริเวณที่เป็นวัดในปัจจุบัน) จึงอธิษฐานจิตปักกลดถาวร ว่า “หากบุญบารมีที่ได้สะสมไว้มีจริง ขอให้สร้างสถานที่นี้เป็นวัดได้สำเร็จ” หลังจากนั้นท่านได้เริ่มปรับปรุงพื้นที่ จากกลดก็สร้างเป็นกระต็อบเล็กๆ จนมีข่าวแพร่กระจายไปทั่วพื้นที่ว่า มีพระธุดงค์กำลังสร้างวัดขึ้น ชาวบ้านจึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในปฏิปทาความตั้งใจของหลวงปู่พริ้ง จึงร่วมแรงร่วมใจกับท่านช่วยกันปรับปรุงพื้นที่จนสร้างเป็นวัดสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยตั้งชื่อว่า “วัดซับชมพู่”
ทั้งนี้หลวงพ่อพริ้ง พูดถึงหลวงพ่อเดิม ยอดพระอาจารย์เหนือหัวว่า ฉันเห็นกับตานะ หลวงพ่อเดิมท่านนี่ เอาเท้าจุ่มน้ำคราม วางบนกองผ้าขาวหลายพับหลายผืน ท่านหลับตาเอามือตบเข่าฉาดเดียว !!! ผ้าทุกผืน มีรอยเท้าท่านติดชัดหมด ยอมท่านเลยล่ะ”
“ส่วนหลวงพ่อทบนี่ ฉันไปหาท่านตั้งแต่ท่านยังไม่ดัง ไม่มีคนรู้จัก ตอนตาท่านเสีย ท่านให้ตำหมากให้เป็นประจำ ท่านถามฉันว่า กล้ากินขี้หมากที่ท่านคายออกจากปากไหม ฉันบอกกล้าซีคุณพ่อ ท่านหัวเราะชอบใจ คายให้กินเดี๋ยวนั้น พอฉันกินหน้าตาเฉย ท่านบอกว่า คุณรู้ไหม ชานหมากผมนี่ วิชาทั้งนั้นเลยนะ นอนภาวนามาทั้งคืน นึกอธิษฐานเอาว่า จะให้ใครดีวิชานี้ ก็มาจำเพาะได้ที่คุณ กินขี้หมากผมให้ได้สัก ๓ วัน ๗ วัน ร่างจะเป็นทิพย์ จิตจะเป็นแก้ว เก่งไม่แพ้ใครแล้ว”
หลวงปู่พริ้ง ท่านชอบเลี้ยงเด็ก มีเด็กลูกหลานชาวบ้านที่ยากจนที่ท่านส่งเสียเลี้ยงดูให้การศึกษาอยู่เกือบ ๔๐ คน บางคนได้เป็นใหญ่เป็นโต มีอาชีพการงานที่มั่นคง เป็นคนดีของสังคมไปก็มาก ความข้อนี้ทราบถึงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดให้หลวงปู่พริ้งเข้าเฝ้าฯ และประทานพระราชทรัพย์ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการดูแลเด็กๆ เหล่านี้
ที่มาฉายา “เทวดาหลังเขา”
แม้ปัจจุบันหลวงปู่พริ้งมีอายุมากถึง ๘๘ ปี แต่ยังคงปฏิบัติธุดงควัตรอยู่ตลอดไม่มีเว้น ดำรงตนสมถะ ออกรับญาติโยมที่เดินทางมาขอพรอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทั้งนี้ มีเรื่องเล่าจากแม่ย่าบ้านท่าด้วงถึงที่มาฉายา “เทวดาหลังเขา” ว่า เมื่อครั้งที่ชาวบ้านเดือดร้อนเกิดวิกฤติ ฝนไม่ตก ภัยแล้ง ดำเนินทุกวิถีทางทั้งราชการและพิธีกรรมก็ไม่เป็นผล ยังประสบภัยแล้งอยู่ ชาวบ้านทราบเรื่องมีพระอภิญญาสูงมาปักกลดอยู่หลังเขาบ้านซับชมพู่ จึงพากันมาขอพึ่งบารมีพระธุดงค์หลังเขา หลังจากมากราบบอกเรื่องราวแก่พระธุดงค์ แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า “เออจริงๆ ด้วยวะ ฝนแล้ง แล้วก็ร้อนด้วย ลมก็ไม่พัดเลย เทวดาจ๋า ขอฝนหน่อยซิ น้ำอาบจะหมดตุ่มแล้ว พระเจ้าไม่มีน้ำอาบ น้ำฉันเลย”
ตกกลางคืนคืนนั้นเอง เกิดลมพัดแรง เมฆฝนตั้งเค้าไม่นานฝนตกมากลางดึก ถึงเกือบตี ๓ รุ่งเช้า ชาวไร่ ชาวนา หน้าบาน มีน้ำพอสูบเข้านาเข้าไร่ เรื่องนี้ มีคนไปกราบท่านตอนหลัง แล้วเรียนถามท่านว่า หลวงปู่เก่งจัง เรียกฝนให้ตกได้ด้วย ท่านตอบว่า “ฉันจะไปเรียกฝนได้ไง ฉันไม่ใช่เทวดานิ ที่ฝนตกมานี่สงสัยเทวดาสงสารพระแก่ จะไม่มีน้ำอาบละม้างนะ” นี่คือที่มา “เทวดาหลังเขา”
หลวงปู่ขุ้ย วัดซับตะเคียน เคยบอกกับลูกศิษย์ว่า “หากปู่ไม่อยู่แล้ว ให้ไปเป็นศิษย์เรียนกับตาเฒ่าพริ้งเขานะ เขามีบารมีมาก มีเทวดาเป็นพวกเยอะ วิชาอาคม เขาก็ได้สารพัด อีกหน่อย เพชรบูรณ์บ้านเรา ก็จะมีตาเฒ่าพริ้งนี้แหละ เป็นเสาหลัก”